
บ่ายแก่ๆของวันเสาร์ ผมเฝ้าถามตัวเองเสมอว่าทำไมตัวผมถึงชอบเป็นอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นเขาเลย ไม่สบายทีไรก็ต้องเป็นมากกว่าคนอื่นเขาทุกที ล่าสุดผมเกิดไม่สบายหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล งานนี้เล่นเอาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นผมก็ต้องรีบกลับไปทำงานตามปกติ กับการทำงานที่ผมต้องทุ่มเทไปกับมัน คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมต้องไปทำทั้งๆที่สังขารผมยังไม่คงที่เลย มันเป็นสัจธรรมของโลกเบี้ยวๆใบนี้
ผมตื่นแต่เช้าเพื่อการตระเตรียมความพร้อมที่จะไปทำงานตามปกติ แล้วผมก็เดินออกไปด้วยอาการสลึมสลือของฤทธิ์ยา ผมจำได้ว่าผมได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้มันดังมาก ทำเอาผมรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล อีกครั้งที่ผมกลับมา งานนี้หนัก ผมตื่นมาเห็นสภาพของตัวเอง รู้สึกว่าผมจะขาหักนะ นึกในใจว่างานนี้คงหยุดยาว ผมว่าออกจากโรงพยาบาลคราวนี้คงต้องไปทำบุญกันยกใหญ่แน่ๆ เลย เฮ้อ! ตอนนี้อยากจะขำ แต่มันก็ขำไม่ออก
คุณหมอบอกผมว่าผมโดนรถมอร์ไซต์เฉี่ยว อาการข้างเคียงคือขาหัก ผมอดขำไม่ได้ หมอบอกให้ผมใช้ไม้ค้ำยันผยุงเดินไปก่อนในตอนนี้ ประมาณอีกสองสัปดาห์คงเป็นปกติ ผมแหงนหน้าไปมองดวงไฟที่หัวเตียงด้วยอาการคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี พอดีมีลมพัดผ่านกระจกเข้ามา ตอนนี้ผมรู้สึกหนาวยังไงก็ไม่รู้
ผมใช้ไม้ค้ำยันเดินกะโผลกกะเผลกออกมานั่งที่เก้าอี้นั่งหน้าโรงพยาบาล ผมชอบเพราะมีต้นไม้เยอะดี ผมนั่งมองคนเดินไปเดินมา มีทั้งคนไข้และญาติเดินกันเต็มไปหมด ผมเหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่งที่ขาหักเหมือนกับผมเค้าก็เดินกะโผลกกะเผลกออกมาข้างนอก โดยมีแม่ของเขาออกมารับกลับบ้าน ผมว่าดูเขามีความสุขนะกับการที่เขายังสามารถเดินได้น่ะ ถึงแม้ยังจะคงต้องพึ่งพาเจ้าไม้ค้ำยันอยู่ เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของเค้าไปแล้ว ภาพนั้นทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมลืมไปนาน…………
………สายลมวูบใหญ่พัดผ่านหน้าผมไปเหมือนมันต้องการเล่าความหลังอะไรบางอย่างให้ผมฟัง
เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วผมก็เป็นเด็กที่แสนซนคนหนึ่ง ชอบวิ่งเล่นไปทั่ว ไปช่วยแม่กับพ่อทำโน่นทำนี่ไปตามประสา แล้วกลางดึกของวันอังคาร ผมไปเดินเล่นที่ลานนอกบ้านตามปกติของผม เดินไปเดินมาผมกลับรู้สึกว่าขาของผมข้างหนึ่งเกิดอาการชาและเจ็บแปลบๆที่ปลายเท้า ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าผมโดนงูกัดซึ่งมันก็คืองูกะปะ พ่อของผมบอก ผมกลัวจนร้องไห้เลย พ่อกับแม่รีบนำตัวผมไปโรงพยาบาลทันที โชคดีที่งูกะปะมีพิษน้อยและผมก็ถึงโรงพยาบาลเร็วด้วย ผ่านไปสองวันผมก็สามารถกลับบ้านได้ แต่ก็มีอาการข้างเคียงตามมาอีก คือผมไม่กล้าที่จะเดินให้เต็มเท้า เนื่องจากอาการเจ็บและเสียวที่ปลายเท้า แล้ววันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมก็ได้บอกกับพ่อว่าผมเจ็บเท้าเดินไม่ถนัดเลย พ่อผมพยักหน้าและบอกว่า เดี๋ยวพ่อจะหาไม้ค้ำให้นะ
เช้าวันต่อมาอาการเจ็บเริ่มทุเลาลง ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่อาการชาเนื่องจากฤทธิ์ยาเท่านั้น ผมสังเกตุเห็นว่าพ่อตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ผมรู้สึกว่าเช้านี้อากาศดีนะ มีลมเบาๆพัดผ่าน กำลังพอเหมาะพอดี แล้วผมก็ผลอยหลับไป
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงเรียกขานของแม่ แม่เรียกผมไปกินข้าว ผมสังเกตุว่าแม่ยิ้มแปลกๆ ยังไงยังไงอยู่นะ แล้วผมก็เหลือบมองไปเห็นวัตถุรูปทรงประหลาด มันเหมือนไม้เท้าฤาษียังไงก็ไม่ปาน มันบิดๆเบี้ยวๆอธิบายไม่ถูก ผมนึกขำ และคิดอยู่นานว่ามันคืออะไรกันนี่ แม่ก็เลยบอกว่า พ่อทำให้เอาไว้ค้ำเดินไปก่อน เห็นช่วงนี้เดินไม่ค่อยถนัด ผมยิ้มแล้วเดินออกไปที่โต๊ะกินข้าวเองโดยไม่ได้ใช้ไม้ที่พ่อทำให้แต่อย่างใด ผมก็บอกกับพ่อและแม่ว่า ไม่เป็นไรครับผมพอเดินได้ วันนี้มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไร พ่อผมยิ้มยิ้มนิดนึงแล้วก็กินข้าวกันต่อไปตามปกติ แต่ผมกลับรู้สึกถึงความน้อยใจอะไรบ่างอย่างจากสายตาของพ่อ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร
แต่ละวันของการรักษาตัว ผมใช้เวลาไปกับการดูหนัง ฟังเพลง และที่สำคัญคือการอ่านหนังสือเพื่อการเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัยเทคนิคประจำจังหวัด ผมฝันอยากเป็นวิศวกรทางด้านอิเล็คทรอนิกส์และด้านเทคโนโลยี บางทีผมอาจได้แรงบรรดาลใจมาจากพ่อของผม เพราะท่านเป็นคนที่ชอบทางด้านนี้อยู่แล้ว บ่อยๆครั้ง ที่ผมช่วยและดูพ่อซ่อมทีวี หรือบางครั้งก็เครื่องเสียง ด้วยวิธีการนานา ที่สารพัดจะนึกเอาได้ จนผมเผลอคิดเอาเองว่าพ่อคงเรียนจบมาจากวิทยาลัยสารพัดช่างเป็นแน่แท้
แต่ในที่สุดการซ่อมของพ่อเกือบจะทุกครั้งก็จะจบลงที่ ร้านซ่อม ? ! ? เป็นทุกทีไป
มีอยู่วันหนึ่งผมเปิดเพลงสียงดังมากจนแม่ต้องเข้ามาดุว่า ให้ผมปิดเพลงซะ แต่พ่อกลับบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวต่อไปถ้าลูกเราเปิดร้านซ่อมหรือขายเครื่องเสียงเองม้นจะต้องดังกว่านี้แน่ แต่แม่ก็เดินมาปิดเพลงของผมซะจนได้ โดยที่พ่ออมยิ้มมองหน้าแม่ ตอนนั้นผมแววตาเป็นประกาย พร้อมกับแรงมหาศาลที่จะต้องสอบเข้าให้ได้และ จะต้องเรียนจบเป็นวิศวกรให้ตามใจหวัง ของผมและคนอีกหลายคน
คืนนั้นผมนั่งอ่านหนังสือเกือบทั้งคืน…………………….
เช้าของวันใหม่ก็สดใสเหมือนกับทุกวัน แต่วันนี้มันต่างกับเมื่อวานตรงที่ ขาผมเหมือนจะหายดีเป็นปกติแล้ว ผมนั่งยิ้มมองดูไม้อันนั้นอยู่ มันยังอยู่ตรงที่เดิม เหมือนกับว่ามันจ้องมองผมอยู่ทุกวัน คอยหวังว่าวันหนึ่งผมคงหยิบมันไปใช้รึเปล่า ตอนนั้น ผมไม่แน่ใจ แต่ผมคิดว่ามันคงคอยเป็นกำลังใจให้ผมหายไวๆแน่ๆ ผมนั่งมองจนหลับไป จนผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนผมหลับคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นมัน แม่คงเอาไปทิ้งแล้วมั๊ง ผมคิด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ตอนนั้นผมคิดอยู่อย่างเดียวคือต้องสอบเข้าให้ได้ เพราะพ่อจะต้องดีใจ และภูมิใจในตัวผมมากแน่เลย ผมอยากทำให้พ่อสบายใจ แต่ผมคงลืมคิดไปว่า อาจจะมีวิธีอื่นๆอีกมากมายที่สามารถทำให้พ่อภูมิใจและสบายใจได้
บางสิ่งที่เป็นสิ่งที่ดูไร้ประโยชน์หรือไร้สาระ อาจแฝงไปด้วยความละเอียดอ่อนที่มีค่ามหาศาลสำหรับใครบางคนที่สนใจมัน แต่กับคนที่ไม่สนใจ มันจะไม่มีทางมีค่าเลย…….
เวลาผ่านไปจนขาผมหายดี โดยที่ผมไม่เคยสนใจ กับเพื่อนใหม่ที่คอยแอบอยู่กับตัวผมตลอด ไม้อันนั้นอยู่กับผมตลอดเวลา รอเวลาที่ผมจะหยิบไปใช้ได้เสมอ ผมรู้ว่ามันรักและหวังดีกับผม แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลย ผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเท่าไร่
………….แล้วสายลมก็ได้พัดพาเรื่องราวต่างๆ มาให้ผมได้ซึมซับอีกครั้ง พร้อมกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับผม และนำผมกลับมาส่งยังปัจจุบัน
ภาพอดีตลบเลือนหายไป ตอนนี้ผมเห็นแค่เด็กผู้ชายคนนั้น เดินกะเผลกออกจากโรงพยาบาลไป พร้อมกับไม้ค้ำยันคู่ใจ ผมว่าเค้าคงชอบมันมากทีเดียว เค้าหันมายิ้มให้กับผมก่อนเดินจากไป……..

บางครั้งบางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เราก็มีความสุขกับมันได้ เพราะหากว่าวันใดที่มันหายไป มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต ที่เราจะตามมันกลับมาได้อีกครั้ง………
เขียนและเรียบเรียงโดย smallroom309
13/12/2007
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น