ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โลกแห่งศิลปและดนตรี

'' ดนตรีถือเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันได้ มันจะบอกถึงความรู้สึกที่ลึกๆเข้าไปข้างใน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ''

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

คุณคือความสวยงาม


คุณกำลังนั่งกินเหล้าเมามาย
คำพูดเพ้อเจ้อ กำลังออกมาจากปากแห่งดีกรี
ทุกคำพูดล้วนมีองค์ประกอบแห่งชีวิต
ปากพร่ำเพ้อ บ่นหาถึงความสวยงาม

กลัวเหรอที่จะบอกต่อใครซักคน ว่าคุณสวยนะครับ ทำไม?
ในเมื่อความสวยงาม มันอยู่รอบตัวเรา
ผมเคยบอกว่าภาพเขียนนี้สวยจริงๆ
แล้วทำไมผมต้องแต่งงานกับภาพเขียนนี้เหรอ

ความสวยงามที่แสนบริสุทธิ์
มันคือความงามที่จริงใจ
คุณอยากเห็นมันหรือเปล่า
ผมว่ามันไม่ยากเลย

เปิดใจให้กว้างขึ้น
ความงดงามจากจิตใจแสนวิเศษ
กำลังรอคุณอยู่
ในเวลาทีคุณต้องการเห็นมัน

ชายชราหนึ่งคน คงกำลังเห็นถึงความสวยงามของขวดสุรา
เขาจึงพยายามพิจารณามัน อย่างถี่ถ้วน
จนเกือบคราสุดท้ายของชีวิต
ประโยคสุดท้ายที่เขาอยากเอ๋ย คงเป็นคำว่า
" เธอช่างสวยงามหลือเกิน "

เรื่องสั้น : ไม้ค้ำยัน



บ่ายแก่ๆของวันเสาร์ ผมเฝ้าถามตัวเองเสมอว่าทำไมตัวผมถึงชอบเป็นอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นเขาเลย ไม่สบายทีไรก็ต้องเป็นมากกว่าคนอื่นเขาทุกที ล่าสุดผมเกิดไม่สบายหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล งานนี้เล่นเอาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นผมก็ต้องรีบกลับไปทำงานตามปกติ กับการทำงานที่ผมต้องทุ่มเทไปกับมัน คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมต้องไปทำทั้งๆที่สังขารผมยังไม่คงที่เลย มันเป็นสัจธรรมของโลกเบี้ยวๆใบนี้

ผมตื่นแต่เช้าเพื่อการตระเตรียมความพร้อมที่จะไปทำงานตามปกติ แล้วผมก็เดินออกไปด้วยอาการสลึมสลือของฤทธิ์ยา ผมจำได้ว่าผมได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้มันดังมาก ทำเอาผมรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล อีกครั้งที่ผมกลับมา งานนี้หนัก ผมตื่นมาเห็นสภาพของตัวเอง รู้สึกว่าผมจะขาหักนะ นึกในใจว่างานนี้คงหยุดยาว ผมว่าออกจากโรงพยาบาลคราวนี้คงต้องไปทำบุญกันยกใหญ่แน่ๆ เลย เฮ้อ! ตอนนี้อยากจะขำ แต่มันก็ขำไม่ออก
คุณหมอบอกผมว่าผมโดนรถมอร์ไซต์เฉี่ยว อาการข้างเคียงคือขาหัก ผมอดขำไม่ได้ หมอบอกให้ผมใช้ไม้ค้ำยันผยุงเดินไปก่อนในตอนนี้ ประมาณอีกสองสัปดาห์คงเป็นปกติ ผมแหงนหน้าไปมองดวงไฟที่หัวเตียงด้วยอาการคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี พอดีมีลมพัดผ่านกระจกเข้ามา ตอนนี้ผมรู้สึกหนาวยังไงก็ไม่รู้
ผมใช้ไม้ค้ำยันเดินกะโผลกกะเผลกออกมานั่งที่เก้าอี้นั่งหน้าโรงพยาบาล ผมชอบเพราะมีต้นไม้เยอะดี ผมนั่งมองคนเดินไปเดินมา มีทั้งคนไข้และญาติเดินกันเต็มไปหมด ผมเหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่งที่ขาหักเหมือนกับผมเค้าก็เดินกะโผลกกะเผลกออกมาข้างนอก โดยมีแม่ของเขาออกมารับกลับบ้าน ผมว่าดูเขามีความสุขนะกับการที่เขายังสามารถเดินได้น่ะ ถึงแม้ยังจะคงต้องพึ่งพาเจ้าไม้ค้ำยันอยู่ เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของเค้าไปแล้ว ภาพนั้นทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมลืมไปนาน…………

………สายลมวูบใหญ่พัดผ่านหน้าผมไปเหมือนมันต้องการเล่าความหลังอะไรบางอย่างให้ผมฟัง

เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วผมก็เป็นเด็กที่แสนซนคนหนึ่ง ชอบวิ่งเล่นไปทั่ว ไปช่วยแม่กับพ่อทำโน่นทำนี่ไปตามประสา แล้วกลางดึกของวันอังคาร ผมไปเดินเล่นที่ลานนอกบ้านตามปกติของผม เดินไปเดินมาผมกลับรู้สึกว่าขาของผมข้างหนึ่งเกิดอาการชาและเจ็บแปลบๆที่ปลายเท้า ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าผมโดนงูกัดซึ่งมันก็คืองูกะปะ พ่อของผมบอก ผมกลัวจนร้องไห้เลย พ่อกับแม่รีบนำตัวผมไปโรงพยาบาลทันที โชคดีที่งูกะปะมีพิษน้อยและผมก็ถึงโรงพยาบาลเร็วด้วย ผ่านไปสองวันผมก็สามารถกลับบ้านได้ แต่ก็มีอาการข้างเคียงตามมาอีก คือผมไม่กล้าที่จะเดินให้เต็มเท้า เนื่องจากอาการเจ็บและเสียวที่ปลายเท้า แล้ววันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมก็ได้บอกกับพ่อว่าผมเจ็บเท้าเดินไม่ถนัดเลย พ่อผมพยักหน้าและบอกว่า เดี๋ยวพ่อจะหาไม้ค้ำให้นะ
เช้าวันต่อมาอาการเจ็บเริ่มทุเลาลง ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่อาการชาเนื่องจากฤทธิ์ยาเท่านั้น ผมสังเกตุเห็นว่าพ่อตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ผมรู้สึกว่าเช้านี้อากาศดีนะ มีลมเบาๆพัดผ่าน กำลังพอเหมาะพอดี แล้วผมก็ผลอยหลับไป

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงเรียกขานของแม่ แม่เรียกผมไปกินข้าว ผมสังเกตุว่าแม่ยิ้มแปลกๆ ยังไงยังไงอยู่นะ แล้วผมก็เหลือบมองไปเห็นวัตถุรูปทรงประหลาด มันเหมือนไม้เท้าฤาษียังไงก็ไม่ปาน มันบิดๆเบี้ยวๆอธิบายไม่ถูก ผมนึกขำ และคิดอยู่นานว่ามันคืออะไรกันนี่ แม่ก็เลยบอกว่า พ่อทำให้เอาไว้ค้ำเดินไปก่อน เห็นช่วงนี้เดินไม่ค่อยถนัด ผมยิ้มแล้วเดินออกไปที่โต๊ะกินข้าวเองโดยไม่ได้ใช้ไม้ที่พ่อทำให้แต่อย่างใด ผมก็บอกกับพ่อและแม่ว่า ไม่เป็นไรครับผมพอเดินได้ วันนี้มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไร พ่อผมยิ้มยิ้มนิดนึงแล้วก็กินข้าวกันต่อไปตามปกติ แต่ผมกลับรู้สึกถึงความน้อยใจอะไรบ่างอย่างจากสายตาของพ่อ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร

แต่ละวันของการรักษาตัว ผมใช้เวลาไปกับการดูหนัง ฟังเพลง และที่สำคัญคือการอ่านหนังสือเพื่อการเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัยเทคนิคประจำจังหวัด ผมฝันอยากเป็นวิศวกรทางด้านอิเล็คทรอนิกส์และด้านเทคโนโลยี บางทีผมอาจได้แรงบรรดาลใจมาจากพ่อของผม เพราะท่านเป็นคนที่ชอบทางด้านนี้อยู่แล้ว บ่อยๆครั้ง ที่ผมช่วยและดูพ่อซ่อมทีวี หรือบางครั้งก็เครื่องเสียง ด้วยวิธีการนานา ที่สารพัดจะนึกเอาได้ จนผมเผลอคิดเอาเองว่าพ่อคงเรียนจบมาจากวิทยาลัยสารพัดช่างเป็นแน่แท้
แต่ในที่สุดการซ่อมของพ่อเกือบจะทุกครั้งก็จะจบลงที่ ร้านซ่อม ? ! ? เป็นทุกทีไป
มีอยู่วันหนึ่งผมเปิดเพลงสียงดังมากจนแม่ต้องเข้ามาดุว่า ให้ผมปิดเพลงซะ แต่พ่อกลับบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวต่อไปถ้าลูกเราเปิดร้านซ่อมหรือขายเครื่องเสียงเองม้นจะต้องดังกว่านี้แน่ แต่แม่ก็เดินมาปิดเพลงของผมซะจนได้ โดยที่พ่ออมยิ้มมองหน้าแม่ ตอนนั้นผมแววตาเป็นประกาย พร้อมกับแรงมหาศาลที่จะต้องสอบเข้าให้ได้และ จะต้องเรียนจบเป็นวิศวกรให้ตามใจหวัง ของผมและคนอีกหลายคน

คืนนั้นผมนั่งอ่านหนังสือเกือบทั้งคืน…………………….

เช้าของวันใหม่ก็สดใสเหมือนกับทุกวัน แต่วันนี้มันต่างกับเมื่อวานตรงที่ ขาผมเหมือนจะหายดีเป็นปกติแล้ว ผมนั่งยิ้มมองดูไม้อันนั้นอยู่ มันยังอยู่ตรงที่เดิม เหมือนกับว่ามันจ้องมองผมอยู่ทุกวัน คอยหวังว่าวันหนึ่งผมคงหยิบมันไปใช้รึเปล่า ตอนนั้น ผมไม่แน่ใจ แต่ผมคิดว่ามันคงคอยเป็นกำลังใจให้ผมหายไวๆแน่ๆ ผมนั่งมองจนหลับไป จนผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนผมหลับคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นมัน แม่คงเอาไปทิ้งแล้วมั๊ง ผมคิด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ตอนนั้นผมคิดอยู่อย่างเดียวคือต้องสอบเข้าให้ได้ เพราะพ่อจะต้องดีใจ และภูมิใจในตัวผมมากแน่เลย ผมอยากทำให้พ่อสบายใจ แต่ผมคงลืมคิดไปว่า อาจจะมีวิธีอื่นๆอีกมากมายที่สามารถทำให้พ่อภูมิใจและสบายใจได้

บางสิ่งที่เป็นสิ่งที่ดูไร้ประโยชน์หรือไร้สาระ อาจแฝงไปด้วยความละเอียดอ่อนที่มีค่ามหาศาลสำหรับใครบางคนที่สนใจมัน แต่กับคนที่ไม่สนใจ มันจะไม่มีทางมีค่าเลย…….
เวลาผ่านไปจนขาผมหายดี โดยที่ผมไม่เคยสนใจ กับเพื่อนใหม่ที่คอยแอบอยู่กับตัวผมตลอด ไม้อันนั้นอยู่กับผมตลอดเวลา รอเวลาที่ผมจะหยิบไปใช้ได้เสมอ ผมรู้ว่ามันรักและหวังดีกับผม แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลย ผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเท่าไร่

………….แล้วสายลมก็ได้พัดพาเรื่องราวต่างๆ มาให้ผมได้ซึมซับอีกครั้ง พร้อมกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับผม และนำผมกลับมาส่งยังปัจจุบัน

ภาพอดีตลบเลือนหายไป ตอนนี้ผมเห็นแค่เด็กผู้ชายคนนั้น เดินกะเผลกออกจากโรงพยาบาลไป พร้อมกับไม้ค้ำยันคู่ใจ ผมว่าเค้าคงชอบมันมากทีเดียว เค้าหันมายิ้มให้กับผมก่อนเดินจากไป……..



บางครั้งบางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เราก็มีความสุขกับมันได้ เพราะหากว่าวันใดที่มันหายไป มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต ที่เราจะตามมันกลับมาได้อีกครั้ง………


เขียนและเรียบเรียงโดย smallroom309
13/12/2007

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ช่วงขณะแห่ง มิตรภาพ.................



ฝนที่ตกลงมา มันช่วยชำระล้าง สิ่งสกปรกก็จริง
แต่สิ่งที่แทนกลับมาคือความเหงา เศร้า
ผมเป็นคนหนึ่งที่โดนฝนจนเปียกเป็นประจำ
แต่สิ่งที่ตามมาคือ ความเปียกปอน

แต่มันจะตรงข้ามกับความงดงาม ของมิตรภาพ
หลังจากเราได้เปียกปอนกับมิตรภาพ เรารู้สึกดี
การดำเนินชิวิต มันแสนยากลำบากหากขาดมิตรภาพ
มันเป็นสิ่งเสพติดหรือ ?

คนคนหนึ่งคงขวนขวายหาสิ่งนี้เหลือเกิน
มันคงจะได้มาหากคุณเป็นคนเริ่ม
ชีวิตมันคงยากที่จะดำเนินต่อไป หากขาดมัน
ผมคงได้แต่หวัง ถึงสิ่งที่ผมต้องการ

เดินต่อไปเถิด เพื่อนเอ๋ย
ความงดงามรอคุณอยู่
เพียงแค่คุณคิดที่จะสร้างมันขึ้นมา
แต่ทว่า คุณคิดว่ามันงดงามเพียงพอหรือเปล่า
แค่นั้นเอง ....................

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

คืนศรัทธา.......

บทความชุดนี้ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากการได้ดูสารคดี 'หลากชีวิตในท้องสนามหลวง'
จากรายการ คนค้นคน ครับ (ขอบคุณครับ)



คืนศรัทธา.......

แสงแดดแผดร้อนแรง ก่อนร่อนแสงกลับลงสู่พื้นโลก
แสงจันทร์พยายามโบยโบก ทักทายชีวิตราตรี
ชีวิตเราคงแสนสุขขี ในยามย่ำค่ำพลับพลาพลบ
เธอคงไม่เคยพอใจอะไรเลย ในชีวิต เธอ

เด็กอ่อนวัยเยาว์ เดินโดยไร้รอยรองเท้าบนพื้นทราย
เขาคงมองหาความหมายของ ก ไก่ ข ไข่ ค ควาย
น้ำตาเขากำลังรินไหล โดยไร้หยดน้ำ
หวังเพียงมีคนมองเห็น ละอองมันเพียงเล็กน้อย

เศร้าเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน ชีวิตเธอแสนเศร้า
ฉันคงแสนโง่เขลา ซะเหลือเกิน ที่ทนทานมันไม่ได้
ดูเธอยิ้ม ฉันอยากยิ้ม แต่ทำไม่ได้ เหมือนเธอ
แข้มแข็ง เธอเข้มแข็ง จนฉันเริ่มแกร่งขึ้น

เวลาที่มีอยู่ตรงนี้ ฉันขอทำอะไรซักอย่างให้เธอ
เธอคือแรงผลักดัน ให้ฉันมีใจคิดต่อสู้ ต่อไป
เธอจะต้องคงอยู่ต่อไป ต่อไป และต่อไป
ชีวิตฉันก็จะต้องเดินไป เดินไป และเดินไป ในคืนแห่งศรัทธา........

Pry & May-T Project (พราย ปฐมพร & เมธี น้อยจินดา) : Poetic Part


“Pry & May-T Project Poetic part” เป็นโปรเจกต์ใหม่เอี่ยมที่เป็นการร่วมมือกัน ระหว่างศิลปินระดับบิ๊กเนม 2 ราย รายแรกคือ เมธี น้อยจินดา หรือ เมธี โมเดิร์นด็อก มือกีตาร์ของวงดนตรีที่ทำให้คำว่าโมเดิร์นร็อกถูกบรรจุลงไปในประวัติศาสตร์ ดนตรีบ้านเรา ส่วนรายที่สองคือ พราย หรือนักร้องนักแต่งเพลงหนุ่มที่มีชื่อจริง นามสกุลจริงว่า ปฐมพร ปฐมพร ผู้ที่หลายๆ คนอาจจะจำได้จากการมีเอกลักษณ์ การทาสีคาดหน้าเวลาจะแสดงบนเวที หลังจากค่อยๆ ทำเพลงด้วยกันแบบไม่รีบเร่ง โดยได้สมาชิกของวง Goose และวง Simplex มาร่วมงานด้วย ในที่สุดเมื่อ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ทีผ่านมาก็มีอีพีชุดแรก“Pry & May-T Project Poetic part” ออกมาวางขายในงาน Big Mountain ชิมลางไปก่อนแล้ว และหากใครเป็น คนที่ติดตามฟังคลื่นวิทยุอยู่บ้าง ก็น่าจะเคยได้ยินเพลง First Time ของ Pry and May-T Project ที่เคยติดชาร์ตคลื่น Fat Radio มาแล้วถึง 5 สัปดาห์ และเคยขึ้นถึงอันดับ 1 มาแล้ว “First Time” ซิงเกิ้ลแรกของ Pry and May-T Project เป็นเพลงที่เมธีแต่งขึ้นต้นไว้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วพรายมาช่วยแต่งต่อจนจบ พวกเขาได้แรงบันดาลใจจากการได้ดูวงดนตรีเด็กๆ เล่น ที่ถึงจะรู้สึกว่าเป็นมือใหม่ ยังไม่เก่งกาจมากมาย แต่ก็มีความสดในแบบที่คน ที่เล่นดนตรีมาซ้ำๆ กันหลายครั้งไม่มี พวกเขาก็นึกสงสัยว่า ทำยังไงถึงจะได้ความรู้สึก แบบ ‘ครั้งแรก’ นั้นกลับมา ซึ่งรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องความรักประสบการณ์ ต่างๆ อีกด้วย โดยดนตรีก็จะสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกในห้วงความคิดดังกล่าว ออกมาในแบบของเมธีและพราย นอกจากนั้นยังมีเพลงที่น่าสนใจอีกอาทิ เพลงพราย, บางเวลา, ปรายฟ้า, เธอคิดถึงฉันบ้างไหม เพลงทุกเพลงถูก ถ่ายทอดออกมาด้วยความรัก ความตั้งใจ เป็นการเอาบทกวีอันสวยงามบวก กับจินตนาการและดนตรีอันบริสุทธิ์ ซึ่งคนที่รักและชื่นชอบในงานศิลปะไม่ควรพลาดครับ

Track List :
1. First Time
2. Pleng pry : เพลงพราย
3. My UFO
4. Pray fah : ปลายฟ้า
5. Sometime : บางเวลา
6. Do you miss me? : เธอคิดถึงฉันบ้างไหม
7. Pray fah (Phithorsn Remix)

MV-เพลงพราย


หลังจากผมได้ฟังอัลบั้มนี้จนจบ ผมรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นเยอะ หลังจากรอชุดนี้มานาน และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอยากจะเป็นเจ้าของอัลบั้มนี้ให้ได้ และที่สุดก็ประสบความสำเร็จครับ ผมซื้อ CD มาจาก B2S มองด้านนอกของปก CD ชุดนี้มันดูหวานแหววจัง เน้นโทนสีชมพูครับ อาจพูดได้ว่าเป็นชุด Pink-Pry เลยทีเดียว แกะมาด้านในเป็นงาน Art Work แผ่นใหญ่ 1 แผ่น เป็นรูปในโทนสีหม่น พลิกอีกด้านมีเนื้อร้องเพลงในอัลบั้ม ครบทุกเพลงซึ่งส่วนใหญ่จะเขียนด้วยลายมือของเจ้าของเพลงเองเลย ดูแล้วน่าประทับใจมากครับ ดูไม่เป็นระเบียบตามสไตล์ครับ แต่โดยภาพรวม สวยงามน่าเก็บสะสมครับ

ในส่วนของเพลงในอัลบัมทุกเพลงมีความน่าสนใจครับ โดยเนื้อร้องภาษากวีของพี่พราย ผสมกับภาคดนตรีที่มีความเป็น Modern-Rock อยู่ภายใน ผมว่ามันผสมกันลงตัวมากครับ โดยส่วนตัวผมจะชอบเพลงพราย ครับ เพราะดนตรีดูทันสมัยมากเลยฟังดูลื่นไหล ล่องลอยไปเรื่อยๆ รู้สึผ่อนคลายดีครับ และกับเพลงหนักแน่นอย่างเพลง My UFO เพลงนี้กีตาร์แน่นและแตกพล่านมากครับก็น่าสนใจอีกเพลงครับ

ผลงานดีๆเช่นนี้น่าสนใจและน่าสนับสนุนนะครับ ผมเห็นยังพอมีวางอยู่ตาม B2S ทุกสาขาครับ และโดยส่วนตัวผมก็อยากให้ศิลปินเช่นพี่พรายออกผลงานมาให้เราได้ชมได้ฟังกันต่อไปนะครับ

Garage Rock, แฟชั่นดนตรี หรือดนตรีที่มาพร้อมกับแฟชั่น



พูดถึงดนตรี Garage Rock ผมไม่แน่ใจว่าประเทศไทยมีคนชอบแนวนี้มากเท่าไหร่นะครับแต่เมื่อดูจากแนวทางของวงการอินดี้เมืองไทย สไตล์ดนตรีจะหันเหมาทางนี้กันมากครับ ซึ่งดนตรีการาจ เป็นดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาเป็นดนตรีทีดูหรือฟังแล้วเหมือนง่ายๆ มั่วๆ เมาๆ แต่จริงๆเป็นดนตรีที่มีส่วนประกอบที่ละเอียดอ่อนมากเลยนะครับ ภาคดนตรีมีความวุ่นวาย และซับซ้อน ที่เน้นมากๆเห็นจะเป็นในส่วนของ Line กีตาร์ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมี 2 ตัวโดยจะเล่นภาคริทึ่ม 1 ตัวเล่นเป็นหลักและใช้อีกตัวเป็นตัวเพิ่มสิสันเข้าไปอีก โดยจะมี Line เบสและกลองคอยควบคุจังหวะ ดนตรีแนวนี้จะเน้นความสนุกสนานเป็นหลักครับ ผมว่ามันเหมาะกับงานปาร์ตี้เท่ห์ๆมากครับ
ผมเคยอ่านเกียวกับดนตรีแนวการาจ ว่าเหมือนวงดนตรีที่แอบเล่นที่ลานจอดรถอะไรประมาณนั้น แต่ฟังดูแล้วก็มีส่วนคล้ายเหมือนกันนะครับ เพราะซาวด์จะออกมาแบบดิบๆนะครับ
และสิ่งที่ตามมาหรืออาจจะมาก่อนแนวดนตรีเสียอีกก็คือ แฟชั่นนั่นเองครับ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเด็กวัยรุ่นเมืงไทยเรามักจะใส่กางเกงขาเดฟ เสื้อยืด หัวฟู กันหมด หรือขาลีบหัวฟูนั่นเอง ซึ่งนี่ก็คือแฟชั่นหรือแนวทางของสไตล์ การาจ นั่นเอง
ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างของวง Garage Rock เมืองไทยกันนะครับ

วง Slur สังกัดค่าย Smallroom





วงนี้โดดเด่นมาก ทั้งรูปลักษณ์และสไตล์ดนตรี เป็นวงที่มีอิทธิพลมาจากเมืองนอกคือ The Stroke, The Libertine โดยซาวด์จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก สามารถนำเอาเครื่องเป่าเข้ามาใช้ในเพลงได้อย่งมีสีสันมากครับ วงนี้เจ๋งมากครับ โดยวง Slur มีอัลบั้มเต็ม 2 อัลบั้ม คือ Boo! และ Bum

วง The Richman Toy สังกัดค่าย Smallroom





วงนี้ก็เช่นกันครับเป็นการาจร็อค แต่จะมีกลิ่นอายของ Country Rock อยู่สูงมากครับ อีกทั้งสไตล์การแต่งตัวที่เก๋มาก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ในส่วนภาคดนตรีจะได้อิทธิพลมาจากวง Kings of Leon อยู่บางส่วนครับแต่ก็สามารถผสมผสานกันได้ดี น่าฟังในแบบไทยๆโดยบางเพลงมีกลิ่นเพลงลูกทุ่งเลยด้วยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของนักร้องนำทำให้เพลงของ The Richman Toy น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งครับ The Richman Toy ออกมา 2 ชุดครับ คือ ดินแดนสวรรค์คอยอยู่ และ ลำนำสะดิ้งเลิฟยู ซึ่งมีเพลง อ็อด อ็อด ดังจนถึงทุกวันนี้ครับ

ซึ่งวงดนตรีทั้งสองวงถ้าหากท่านใดสนใจในผลงาน ล่าสุดทุกอัลบั้มที่กล่าวมายังมีจำหน่ายอยู่นะครับที่ B2S ทุกสาขาครับ
จากวงดนตรีที่กล่าวข้างต้น เราก็คงมองภาพของดนตรี การาจร็อก กันออกแล้วนะครับ เป็นแฟชั่นดนตรีของเมืองไทยครับ ในการเลือกรับวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นหรือว่าดนตรี เราก็ควรมีการปรับแต่งให้มีความเหมาะสมกับวัฒนธรรมบ้านเราด้วยนะครับ เลือกรับอย่างสร้างสรรค์ครับผม มีความสุขกับการเสพผลงานศิลปะกันนะครับ

แนะนำวงดนตรีของไทย กับ PLOT แห่ง SO on Dry Flower


วงนี้ผมได้ฟังครั้งแรกกับการเข้า MySpace ของ So On Dry Flower ครับ
เป็นซาวด์ดนตรีเท่ห์ๆ ดีครับ ดูจะมีส่วนประกอบของดนตรี Garage-Rock อยู่พอตัวครับ
เมื่อผสมกับแนวทางการร้องที่ ดุ+ดิบ แล้วก็ออกมาแบบ Garage Rock ที่ค่อนข้างก้าวร้าว
อยู่พอควร กับเพลง 5 Years ผมว่าผมประทับใจเพลงนี้มากเลยครับ กับซาวด์กีตาร์ที่กวนๆหลอนๆ ล่องลอยเอาเลยทีเดียว ผสมกับเบสและกลองที่เร้าใจตลอดทั้งเพลงครับ ถือว่าเรื่องส่วนของดนตรีเท่ห์มากๆครับ ในพาร์ทของเนื้อร้องไม่ต้องพูดถึงครับ บ่งบอกถึงความรู้สึกอย่างชัดเจน
ดู MV แล้วก็สะใจดีครับ และผมว่าวงนี้ในเรื่องการเล่นสด ต้องมันแน่นอนครับลองติดามรายละเอียดจาก Myspace ของพวเค้าดูนะครับ

ถ้าหากใครสนใจผมแนะนำให้ลองเข้าไปฟังได้นะครับที่ Myspace ของวง PLOT ครับ
ยังมีเพลงเท่ห์ๆอีก 2 เพลง ชื่อว่า หญิงมหัศจรรย์ และ ใครผิด
http://www.myspace.com/plotplotplot

และแนะนำให้ลองดู MV 5 Years ครับ อาร์ทจริงๆครับ



MV ใครผิด (เบสมันมากครับ)



สนับสนุนผลงานดีๆของคนมีฝีมือและตั้งใจทำงานนะครับ

แนะนำตัวกันก่อนนะครับ

ผมคิดว่า การได้ทำอะไรที่เราชอบเป็นพิเศษ มันเป็นสิ่งวิเศษนะครับ
คนบางคนต้องทำในสิ่งที่อาจตรงข้ามกับความเป็นตัวเอง
อาจเป็นเพราะความจำเป็นหรือสิ่งบีบบังคับทางสังคม ซึ่งเราต้องเป็นหรือต้องทำ
แต่เราก็ไม่สามารถทิ้งความเป็นตัวเองไปไม่ได้หรอกครับ

โดยการที่ผมสร้าง Blog นี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการตอบสนองความต้องการของตัวเอง
ในเรื่องของศิลปะและดนตรี ผมว่าศิลปะ มีพลังมหาบำบัดมากนะครับ
มันช่วยฉุดดึงเรามาจากความชั่วร้ายได้ หากคุณคิดว่าการเป็นคนดีนั้นมันยากนัก
ผมว่าศิลปะช่วยคุณได้ อย่าละเลยมันนะครับ



กำลังใจที่ดี............

คืนนี้ฝนตก......ทั้งคืนเลย
ผมเดินออกไปเก็บผ้ามาไว้ในห้อง
เสียงฝนมันกลบเสียงเพลงของผม
แต่ผมยังงึมงำกับเสียงดนตรีได้อยู่
ผมเหลือบมองเห็นปากกาที่ผมเคยซื้อมา
มันยังอยู่ที่เดิมเพราะผมไม่ได้จับมันนานทีเดียว
กับงานที่ยุ่งเหลือเกิน........
สมุดบันทึกคงเหงาน่าดู........เมื่อปากกามันหยุดทำงานไปดื้อๆ
เสียงฝนตกเหมือนเสียงบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง
ฟังไม่รู้เรื่องเลย.......
แต่ผมว่ามันคงไม่อยากให้เราเข้าใจหรอก
แค่รับฟังมัน.....เฉยๆ และคอยปลอบประโลม
มันคงเป็นกำลังใจที่ดี ให้กับใครซักคนหนึ่ง
ได้มีแรงทำอะไรต่อไป
ฝนก็คงต้องตกต่อไป
เพราะมีคนมากมาย........ยังคงอยากรับฟังมันอยู่
และคอยถามอยู่ในใจว่า '' มันพูดบ้าอะไรของมัน ''